เบต้ากลูแคน ใน ผู้ป่วยมะเร็ง

1. เบต้ากลูแคนจะไปกระตุ้นและเพิ่มพลังให้เม็ดเลือดขาว (ซึ่งทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม เซลล์ร้ายต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็ง) อีกทั้งยังกระตุ้นให้พลาสม่าเซลล์สร้างแอนตี้บอดี้ต้านเซลล์มะเร็ง โดยจะลอยไปตามกระแสเลือด ซึ่งเมื่อพบเซลล์มะเร็งก็จะเกาะติดเป็นเป้าให้เม็ดเลือดขาวเข้าไปโจมตีทำลาย

2. นอกจากนี้เบต้ากลูแคนยังเสริมให้การรักษามะเร็งโดยใช้ยาคีโม ได้ผลดียิ่งขึ้นในการแพทย์แผนปัจจุบันกับการรักษาโรคมะเร็ง จะใช้การผ่าตัด ฉีดยาคีโม และการฉายรังสีทำลายมะเร็งรวมกัน ยาคีโมจะทำให้จำนวนเม็ดโลหิตขาวในเลือดลดจำนวนต่ำกว่าปกติ จึงทำให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อโรคสารพัดได้โดยง่าย เพราะมีภูมิต้านทานต่ำหรือบกพร่องซึ่งสถานะเท่ากับคนเป็นเอดส์ แต่การกินเบต้ากลูแคนจะเสริมไม่ให้เกิดปัญหาเม็ดโลหิตขาวบกพร่อง
จึงเสริมในการทำลายเซลล์มะเร็งได้มากกว่าแต่ละอย่างรวมกัน

3. เบต้ากลูแคนป้องกันอันตรายจากรังสีบำบัดมะเร็ง โดยจะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อนจาก รังสีและยังเสริมภูมิต้านทานอีกด้วยซึ่ง เรียกว่าเกิดผลประโยชน์ข้างเคียง

4. งานวิจัยที่จุดประกายการศึกษาเบต้ากลูแคน ก็คืองานของ ดร.ปีเตอร์ แมนเซลล์ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกาในปี 1975 เป็นการศึกษาเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนังและมะเร็งเต้านม ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า เบต้ากลูแคนช่วยให้ ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงและหายไปได้

* Glucan 300® เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้แก่ร่างกาย

* ผลลัพธ์ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

Glucan 300® ในผู้ป่วยภูมิแพ้

คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ร่างกายจะถูกล็อคอยู่ในสมดุลที่ไม่เหมาะสม (สมดุล Th2 หรือ สมดุล Th17) การทานเบต้ากลูแคนสามารถทำให้ร่างกายของเรากลับไปสู่สมดุลปกติ (Th1) ได้ ภายใน 2-3 เดือน (หลายคนเห็นผลได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน) โดยจะพบว่า อาการค่อยๆลดความรุนแรงลง จนสามารถหยุดการใช้ยาแก้แพ้ได้ เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทานเบต้ากลูแคนทุกวัน อาจปรับไปเป็น 3 วันครั้ง สัก 1 เดือน ถ้ายังปกติดีอยู่ก็สามารถทานสัปดาห์ละครั้ง แต่ไม่ควรนานกว่านี้แล้ว เนื่องจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า Beta-1,3 D Glucan Transfer Point แม้ว่าจะเป็นยี่ห้อที่ให้ประสิทธิภาพที่ยาวนานมาก แต่การหยุดทานไป 7 วัน จะทำให้ปริมาณของ IL-2 ที่สร้างจะเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นสารเคมีสำคัญที่สร้างจากสมดุล Th1 มีปริมาณลดลงเหลือ 70% แต่ถ้าหยุดนานถึง 2 สัปดาห์ปริมาณของ IL-2 นี้จะลดเหลือเพียง 20% [สำหรับเบต้ากลูแคนยี่ห้ออื่นหลังสัปดาห์แรก ปริมาณ IL-2 ก็ลดลงเหลือเพียง 30% หรือต่ำกว่าแล้ว!

ดังนั้นการรับประทานสัปดาห์ละครั้งจะช่วยให้มั่นใจว่าสมดุล Th1 ยังคงอยู่ นอกจากจะช่วยเรื่องภูมิแพ้แล้ว ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยทั่วไปดีขึ้นอีกด้วย เช่น การติดเชื้อต่างๆลดลง (จะรู้สึกไม่ป่วยง่ายเหมือนแต่ก่อน) แผลที่เป็นอยู่จะหายเร็วขึ้น ความถี่ของการเป็นหวัดน้อยลง ฯลฯ เป็นเสมือนเกราะป้องกันร่างกายที่มองไม่เห็นของเรา การทานเพื่อเปลี่ยนสมดุลดังในกรณีนี้ ใช้ปริมาณไม่มากเพียง 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน (หรือสัปดาห์) เช่น คนหนัก 50 กิโลกรัม จะใช้ = 50 x 10 = 500 มิลลิกรัมต่อวัน (พร้อมวิตามินซี 200-300 มิลลิกรัม) ทานตอนท้องว่าง เมื่ออาการดีขึ้นแล้ว จึงเป็นการทานเพื่อรักษาสภาพสมดุล Th1 ให้คงอยู่เพียงสัปดาห์ครั้งเท่านั้น [อย่าลืมทานวิตามินซีร่วมด้วยทุกครั้ง] (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในบทที่ 4)

เมื่ออาการภูมิแพ้ดีขึ้นแล้ว ต้องทานเบต้ากลูแคน ต่อหรือไม่ ทำไม?

ควรทานต่อ เพราะผู้ที่เป็นภูมิแพ้จะมีแนวโน้มที่แพ้สิ่งเดิมๆอีก และสมดุลของร่างกายก็จะเปลี่ยนจากสมดุล Th1 กลับไปเป็นสมดุลภูมิแพ้ (สมดุล Th2) ทำให้เกิดมีอาการภูมิแพ้ขึ้นมาอีก แล้วก็ต้องเริ่มกินเบต้ากลูแคนใหม่ตามที่อธิบายไว้ในข้อ 1 ดังนั้นเมื่อดีขึ้นจนหยุดยาแก้แพ้ได้แล้ว จึงควรทานเบต้ากลูแคนสัปดาห์ละ 1 แคปซูลไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาสมดุลพื้นฐาน (สมดุล Th1) ของเราไว้

โรคที่เกิดจากการถูกล๊อกอยู่สมดุลพื้นฐานที่เป็นสมดุล Th17

ในทำนองเดียวกันกับโรคที่เกิดจากสมดุล Th2 เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังก็ช่วยในการปรับสมดุลจาก Th17

มาเป็นสมดุล Th1ได้ ในสมดุล Th17 นี้ จะพบการสร้างสารเคมี IL-17 และ IL-12 การศึกษาพบว่าการยังยั้งการสร้างสารเคมีเหล่านี้ ช่วยให้อาการของโรคทุเลาลงจนหายได้ ดังนั้นการใช้เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง ในการปรับเป็นสมดุล Th1 ก็จะทำให้สารเคมีอันตรายจากสมดุล  Th17 (IL-17 และ  IL-12) ลดลง และสารเคมีในสมดุล Th1 เพิ่มขึ้น ในที่สุดก็ทำให้สมดุล Th1 เด่น และจะช่วยให้อาการหรือโรคที่เกิดจากสมดุล Th17 ลดลงและหายไปในที่สุด

หมายเหตุ  : เนื่องจากรูปแบบการตอบสนองของ Th17 มีความรุนแรงมาก แม้การปรับสมดุลโดยเบต้ากลูแคนจะสำเร็จใน 1-2 เดือนก็ตาม ( การปรับสมดุลเป็นสมดุล Th1 หมายถึง ต้นเหตุได้ถูกกำจัดไปแล้ว) อาการจะค่อยๆดีขึ้นแต่ไม่เร็วเหมือนกับที่พบในการปรับจากสมดุล Th2 ขึ้นอยูกับความเสียหายที่เกิดจากการทำลายโดยสมดุล Th17 ก่อนการปรับสมดุลมาเป็นสมดุล Th1 โดยปกติจะเริ่มดีขึ้นภายในเดือนแรก และหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว อาการจะเริ่มดีขึ้นมาก (มีหลายกรณีที่พบว่า คุณหมอผุ้รักษาปรับลดปริมาณยาที่ให้ลง)

โรคในสมดุล Th17 นี้ เช่น โรคหืด, โรคไขข้อเสื่อม (Rheumatoid Arthritis), โรคภูมิแพ้บางชนิด, โรคทางเดินอาหารอักเสบ ( Inflammatory Bowel Disease), โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ( Autoimmune Gastritis), โรคสะเก็ดเงิน ( Psoriasis), โรคม่านตาอักเสบ (Uveitis), โรคพุ่มพวง ( Systemic Lupus Erythematosus), โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง (Chronic Gingivitis), โรคเบาหวานชนิดที่ 1 และโรค Multiple Sclerosis เป็นต้น

เบาหวาน…..อินซูลินเซลล์ตับอ่อนแผลเบาหวาน

อันที่จริงแล้ว ไม่ได้คิดว่าจะเขียนหัวข้อเกี่ยวกับเบาหวานนอกจากการช่วยให้แผลหายเร็ว แต่ผู้เขียนได้มีประสบการณ์กับผู้ป่วยเบาหวานจำนวนหนึ่ง ที่ใช้เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง เนื่องจากมีปัญหากับแผล

บางรายคุณหมอวินิจฉัยให้ตัดขารือตัดนิ้ว เพราะมีแผลเรื้อรังที่ลุกลาม ผู้ป่วยเหล่านี้เมื่อได้ใช้เบต้ากลูแคนทำให้แผลดีขึ้น หลายรายแผลที่เคยเป็นเรื้อรังมานานหายไปได้ ทุกรายรอดจากการถูกตัดอวัยวะ แต่สิ่งที่พบเพิ่มเติม

ก็คือ อาการเบาหวานต่างๆดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากเข้าใจว่า เบต้ากลูแคนชนิดที่ละลายน้ำจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าในด้านนี้ ด้วยความคิดเช่นนี้ เลยทำให้มีการศึกษาในแง่มุมเกี่ยวกับเบาหวานโดยใช้เบต้ากลูแคน

จากยีสต์ขนมปังไม่มากนัก แต่ความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่เฉพาะเบต้ากลูแคนชนิดที่ละลายน้ำได้เท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี้ จึงทำให้ต้องมาเขียนหัวข้อนี้เท่าที่จะหาข้อมูลได้ แต่จะไม่ลงลึกในเนื้อหาในด้านต่างๆ แต่อย่างใด

เนื่องจากมีหนังสือและผู้รู้จำนวนมากแล้วสำหรับเรื่องนี้จึงจะขอกล่าวในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น

การเกิดเบาหวานมีปัจจัยหลักอยู่สองประการคือ

ประการแรก ร่างกายสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยลงเนื่องจากเบต้าเซลล์ในตับอ่อนเสื่อมหรือเสียหายไปจากการใช้งาน

ประการที่สอง ก็คือ สภาพของร่างกายที่ดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินมากขึ้นกว่าในคนปกติเพื่อมาใช้ในการจัดการน้ำตาลในปริมาณเท่ากัน ทำให้เซลล์ตับอ่อนต้องทำงานหนักขึ้นจึงเสื่อมหรือเสียไปเร็วขึ้น

ทั้งสองปัจจัยมีความสัมพันธ์กันอยางใกล้ชิด ในเบาหวานชนิดที่2 สำหรับเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งมักเกิดในเด็ก

มีสาเหตุมาจากภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง (สมดุลTh17) ที่มีเป้าหมายอยู่ที่เซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ซึ่งก็คือเบต้าเซลล์

ในตับอ่อนนั่นเอง ในกรณีนี้เซลล์ตับอ่อนจะถูกทำลายอย่างรวดเร็ว โดยระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง ที่อยู่ในสมดุลที่ไม่ถูกต้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้มีอายุน้อยและอาจจะต้องพึ่งพาอินซูลินไปตลอดชีวิตก็ได้

สำหรับในประการแรกเพื่อลดความเสียหายของเบต้าเซลล์ มีการศึกษาในหนูที่มีพันธุกรรมที่จะเกิดภูมิต่อต้านตัวเองได้ วึ่งมีผลให้เป็นเบาหวาน ให้หนูกลุ่มนี้กินเบต้ากลูแคนตั้งแต่อายุ 4 สัปดาห์ ต่อเนื่องเป็นเวลานาน 16 สัปดาห์ ทำให้โอกาสที่จะเป็นเบาหวานลดลงจาก 43.3%  เหลือ 6.7%  และพบด้วยว่าตับอ่อนมีการอักเสบลดลงจาก 84.2% เหลือ 26.3% นอกจากนี้ยังพบว่าถ้าเลิกให้เบต้ากลูแคนในหนูกลุ่มที่เคยได้รับเบต้ากลูแคนแล้ว

เมื่ออายุ 20 สัปดาห์ การติดตามผลเมื่อหนูมีอายุ 25 สัปดาห์ พบว่าหนูกลุ่มนี้กลับมาเป็นเบาหวานอีก 11%

จึงสามารถสรุปได้ว่า เบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของตับอ่อนลง และช่วยลดโอกาสเป็นเบาหวานในหนูกลุ่มเสี่ยงนี้หากกินเบต้ากลูแคนอย่างต่อเนื่อง และยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าเบต้ากลูแคนสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 อีกด้วย

สำหรับประการที่สอง  เพื่อลดความดื้อของร่างกายที่มีต่ออินซูลิน ในการศึกษาผู้ป่วยที่มีอาการดื้อต่ออินซูลินพบว่า มีการส่งสัญญาณระบหนึ่งที่เรียกว่า PI3K/Akt ( PhosphatidylnositoI-3-Kinase/Akt) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณสำหรับการนำน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานของอินซูลิน กระบวนการนี้ในผู้ป่วยที่มีอาการดื้อต่ออินซูลินจะมีประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณลดลงเมื่อเทียบกับคนปกติ

ในกรณีนี้มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า การรับประทานเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง ทำให้ประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนเหมือนของคนปกติ

จากข้อมูลที่รวบรวมมาจะเห็นว่า เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังมีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานทั้งสองประการคือ ช่วยให้ตับอ่อนแข็งแรง (ทำงานได้ดีขึ้น) และช่วยให้ร่างกายลดความดื้อต่ออินซูลินลง ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวาน ก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากในการรับประทานเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องเบาหวานแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงในด้านต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วอีกด้วย

ช่วยให้แผลหายเร็ว

เม็ดเลือดขาวชนิดแม็คโครเฟจ เป็นเม็ดเลือดที่มีบทบาสำคัญในการรักษาบาดแผล มีการศึกษาจำนวนมากที่พบว่า เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปัง ซึ่งสามารถกระตุ้นการทำงานของแม็คโครเฟจ สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและอีลาสตินของเซลล์ผิวหนัง จึงช่วยให้แผลจากการผ่าตัด หรือแผลจากอุบัติเหตุต่างๆหายเร็วขึ้น ลดความเสียงต่อการเสียชีวิต  จากการติดเชื้อ และยังเพิ่มความยืดหยุ่นและแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อที่เป็นแผล นอกจากนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแรงและยืดหยุ่นของเส้นเลือดและลิ้นปิดเปิดของเส้นเลือด จึงช่วยลดการเกิดเส้นเลือดขอดได้อีกด้วย

การศึกษายังพบอีกว่า เบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังช่วยให้แผลหายเร็วที่สุดในบรรดาสารต่างๆที่นำมาเปรียบเทียบ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่นำเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังมาผสมกับครีมทาแผลที่มียาปฏิชีวนะทาที่บริเวณแผลกดทับ ช่วยให้เนื้อเยื่อที่แผลฟื้นตัวเร็วขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ก็มีการนำเบต้ากลูแคนจากยีสต์ขนมปังมาใช้ในแผลที่เกิดจากความร้อน เช่นแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ฯลฯ พบว่ามีจำนวนแม็คโครเฟจเพิ่มขึ้นในบริเวณบาดแผล และมีการสร้างสารเคมีมากมายที่ช่วยลดการสูญเสียของเหลวจากบาดแผล จัดการกับเนื้อเยื่อที่เสียหาย ลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ลดความเจ็บปวดทำให้แผลหายเร็วขึ้น เนื้อเยื่อเจริญเติบโตเร็วขึ้น ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้เนื่อเยื่อที่บาดแผลอีกด้วย และช่วยให้แผลดูดีขึ้นเมื่อหายดีแล้ว

การเปรียบเทียบยี่ห้อของเบต้ากลูแคนที่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น การศึกษาการฟื้นตัวของเนื้อเยื้อ 24 ชม.หลังเกิดบาดแผล พบว่าเบต้ากลูแคนสามารถช่วยในการซ่อมแซมบาดแผลและทำให้แผลฟื้นตัวได้เร็วขึ้น รูปด้านล่างเป็นการเปรียบเทียบระหว่างผลของการใช้เบต้ากลูแคนชนิดต่างๆ ยี่ห้อที่ให้ผลดีที่สุดคือ Beta 1,3,D Glucan Transfer Point ซึ่งช่วยให้เซลล์บาดแผลฟื้นตัวได้ถึง 60% ขณะที่ยี่ห้อที่รองลงมาช่วยให้ฟื้นตัวได้เพียง 40%เท่านั้น

การฟื้นตัวของเนื้อเยื่อ (%)

แผลเบาหวาน

เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานมีความผิดปกติเกี่ยวกับปลายประสาท (ประสาทรับรู้ความรู้สึก ประสาทควบคุมกล้ามเนื้อ และประสาทอัตโนมัติ) นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดแข็งและอุดตัน เป็นต้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับหลอดเลือดต่างๆในร่างกาย และยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เกิดบาดแผลได้ง่ายและบ่อย รวมถึงกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลเป็นไปได้อย่างเชื่องช้า ตลอดจนกระบวนการทางเซลล์ที่ตอบสนองต่อกระบวนการรักษาแผลที่เสียไป กระบวนการรักษาแผลเป็นกระบวนการหลายขั้นตอน โดยมีแม็คโครเฟจเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นแกนกลางของกระบวนการนี้ เบต้ากลูแคนช่วยกระตุ้นการทำงานของแม็คโครเฟจ ทำให้เคลื่อนที่เข้าไปสู้บาดแผลที่มากขึ้น เพื่อการซ่อมแซมบาดแผล กระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเพิ่มจำนวน และสร้างคอลลาเจนรวมทั้งอีลาสตินมากขึ้น นำไปสู่ความแข็งแรงและยืดหยุ่นของผิวหนังที่สร้างขึ้นใหม่

ตัวอย่างการศึกษาแผลของหนูที่เป็นเบาหวานในด้านประสิทธิภาพการสร้างเนื้อเยื่อทดแทนเนื้อเยื่อที่เป็นแผล โดยศึกษาเป็นเวลา 17 วัน พบว่าแผลของหนูใน

กลุ่มที่ได้รับเบต้ากลูแคน (YBG) มีการสร้างเนื้อเยื่อได้เร็วกว่ากลุ่มอื่นๆ  จากกราฟที่แสดงกำหนดให้หนูเบาหวานในกลุ่มควบคุม ซึ่งไม่ได้รับเบต้ากลูแคนหรือฮอร์โมนอินซูลิน มีประสิทธิภาพการสร้างเนื้อเยื่อทดแทนเท่ากับ 100%

กลุ่มที่ได้รับเบต้ากลูแคน (YBG) มีประสิทธิภาพ 150% และกลุ่มที่ได้รับเบต้ากลูแคนและอินซูลิน (YBG + INS) มีประสิทธิภาพ 131%

ส่วนกลุ่มที่ได้รับอินซูลิน (Ins) อย่างเดียว การสร้างเนื้อเยื่อกลับแย่กว่ากลุ่มควบคุมเสียอีก คือมีประสิทธิภาพเพียง 84%

ประสิทธิภาพการสร้างเนื้อเยื่อ (%)

การศึกษานี้ทำให้เห็นว่า

เบต้ากลูแคนสามารถทำให้การสร้างเนื้อเยื่อทดแทนเป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น ในขณะที่ฮอร์โมนอินซูลิน จะมีผลข้างเคียง ทำให้ร่างกายสร้างเน้อเยื่อทดแทนได้ช้าลง การใช้เบต้ากลูแคนร่วมด้วยจึงทำให้การสร้างเนื้อเยื่อของแผลเป็นไปอย่างดี ดังนั้นการใช้เบต้ากลูแคนเสริมรักษาผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากจะช่วยปรับให้ร่างกายของผู้ป่วยมีสภาวะที่ดื้อต่ออินซูลินลดลง มีผลให้ร่างกายมีการจัดการกับน้ำตาลในร่างกายได้ดีขึ้น จึงใช้อินซูลินน้อยลงกว่าเดิม ทำให้เซลล์ตับอ่อนทำงานน้อยลง และเบต้ากลูแคนยังช่วยให้เบต้าเซลล์ในตับอ่อนมีอายุยืนยาวขึ้นอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการเสริมด้วยเบต้ากลูแคนให้ประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานในหลายๆด้าน