Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) หรือโรคไขมันพอกตับ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคตับในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นภาวะที่มีไขมันเกาะที่ตับมากผิดปกติ และอาจนำไปสู่โรคตับแข็งและตับวายได้หากไม่ได้รับการรักษา NAFLD มักจะพบเจอในผู้คนที่มีภาวะโรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2 และต่างจากโรคตับที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ NAFLD ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
ในร่างกายของคนที่แข็งแรง ตับจะขจัดสารพิษและผลิตน้ำดี ซึ่งเป็นโปรตีนที่สลายไขมันเป็นกรดไขมันเพื่อให้สามารถย่อยได้ เเละการเป็นโรคไขมันพอกตับจะสามารถทำลายตับและขัดไม่ให้ทำงานได้ดีเท่าที่ควร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตก็สามารถป้องกันไม่ให้ไขมันที่เกาะตับเพิ่มขึ้นได้ เเละแนวทางแรกในการรักษา NAFLD คือการลดน้ำหนัก ผ่านการลดแคลอรี่ การออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพร่วมกัน
โดยทั่วไป อาหารสำหรับโรคตับไขมันรวมถึง:
- ผลไม้และผัก
- พืชที่มีเส้นใยสูง เช่น พืชตระกูลถั่วและธัญพืชไม่ขัดสี
- ลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดลงอย่างมาก รวมถึงอาหารที่เติมน้ำตาล เกลือ คาร์โบไฮเดรตขัดสี และไขมันอิ่มตัวสูง
- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
ปริมาณน้ำหนักที่คุณควรลดเพื่อรักษา NAFLD จะขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันในร่างกายส่วนเกินที่คุณมี ทีมดูแลสุขภาพของคุณสามารถช่วยคุณตัดสินใจเกี่ยวกับเป้าหมายการลดน้ำหนักที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากสุขภาพโดยรวมของคุณ เเต่โดยปกติเเล้ว ทางทีมจะแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน และไขมันไม่อิ่มตัว
ในบทความนี้ เราจะมาลิสต์ 10 อาหารที่ควรทานเพื่อดูเเลตับของคุณ
10 อาหารที่ควรทาน เพื่อบำรุงตับของคุณ
1 กาแฟ
1. กาแฟช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ตับผิดปกติ
การดื่มกาแฟในแต่ละวันสามารถช่วยป้องกันตับจาก NAFLD ได้
การศึกษาในปี 2564 พบว่าการบริโภคกาแฟเป็นประจำนั้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงของการพัฒนา NAFLD รวมทั้งความเสี่ยงที่ลดลงของความก้าวหน้าของการเกิดพังผืดในตับในผู้ที่วินิจฉัยว่าเป็นโรค NAFLD แล้ว
นอกจากนี้ คาเฟอีนในกาเเฟยังช่วยลดจำนวนเอนไซม์ตับที่ผิดปกติในผู้ที่เสี่ยงต่อโรคตับอีกด้วย
2 ผักใบเขียว
สารประกอบที่พบในผักโขมและผักใบเขียวอื่นๆ อาจช่วยต่อสู้กับโรคไขมันพอกตับ
ผลการศึกษาในปี 2564 พบว่าการกินผักโขมช่วยลดความเสี่ยงของ NAFLD โดยเฉพาะ อาจเป็นเพราะ nitrate และ polyphenols บางชนิดที่พบในใบเขียว
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ การศึกษามุ่งเน้นไปที่ผักโขมดิบ เนื่องจากผักโขมที่สุกหรือปรุงแล้วไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนเท่ากับผักโขมดิบ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะการปรุงผักโขม (และผักใบเขียวอื่นๆ) มีส่วนส่งผลให้ปริมาณ polyphenols และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระลดลง
3 ถั่วและถั่วเหลือง
ทั้งถั่วและถั่วเหลืองมีฤทธิ์ในการลดความเสี่ยงต่อ NAFLD
ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอาหารและโรคตับชี้ให้เห็นว่าพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี ถั่วเหลือง และถั่วลันเตา ไม่เพียงแต่มีสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเท่านั้น แต่ยังมีแป้งต้านทานการย่อยที่ช่วยปรับปรุงสุขภาพของลำไส้อีกด้วย การบริโภคพืชตระกูลถั่วอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ในผู้ที่เป็นโรคอ้วนได้
นอกจากนี้ ผลการศึกษาในปี 2562 ยังพบอีกว่าอาหารที่อุดมไปด้วยพืชตระกูลถั่วช่วยลดโอกาสเกิด NAFLD ได้โดยเฉพาะ
แหล่งศึกษาบางส่วนยังพบว่าการกินถั่วเหลือง (ไม่ว่าจะแทนที่เนื้อสัตว์หรือปลา หรือโดยการบริโภคซุปมิโซะซึ่งมีถั่วเหลืองหมัก) อาจช่วยปกป้องตับได้ ซึ่งเป็นไปได้อย่างมากว่าถั่วเหลืองมีโปรตีน β-conglycinin สูง ซึ่งอาจมีความสามารถในการช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์และอาจป้องกันการสะสมของไขมันในอวัยวะภายใน
4 ปลา
ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า และปลาเทราท์ มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งแหล่งวิจัยที่เชื่อถือได้แนะนำว่าการเสริมร่างกายด้วยโอเมก้า 3 อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มี NAFLD โดยการลดไขมันในตับ เพิ่ม HDL ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ เเละลดการอักเสบ
5 ข้าวโอ๊ต
อาหารที่อุดมด้วยไฟเบอร์อย่างธัญพืชไม่ขัดสี เช่นข้าวโอ๊ต มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคที่เกี่ยวข้องกับ NAFLD เพิ่มไฟเบอร์ให้ร่างกาย และอาจช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์
6 ถั่ว
การกินถั่วมีความสัมพันธ์กับการอักเสบที่ลดลง การดื้อต่ออินซูลินที่น้อยลง ความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันที่เบาลง และความเสี่ยงต่อ NAFLD ที่ลดลง
การศึกษาขนาดใหญ่จากประเทศจีนพบว่าการบริโภคถั่วที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับความเสี่ยงที่ลดลงของ NAFLD และอีกการวิจัยที่เชื่อถือได้พบว่าผู้ที่เป็นโรคไขมันพอกตับที่กินวอลนัทมีการทำงานของตับที่ดีขึ้น
7 ขมิ้น
ปริมาณสูงของเคอร์คูมิน — สารออกฤทธิ์ในขมิ้น — อาจมีความสามารถในการลดความเสียหายของตับในผู้ที่มี NAFLD
แหล่งการศึกษาหนึ่งที่มุ่งเน้นไปที่การกินอาหารเสริมขมิ้นชันแสดงให้เห็นว่ารากสีส้มในขมิ้นอาจมีส่วนในการลดระดับของเซรั่ม alanine aminotransferase (ALT) เเละ aspartate aminotransferase (AST) ซึ่งทั้งสองเป็นเอนไซม์ที่พบเจอในผู้ที่เป็นโรคตับไขมันในระดับที่สูงอย่างผิดปกติ
8 เมล็ดทานตะวัน
เมล็ดทานตะวันมีวิตามินอีสูงเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มักใช้ในการรักษา NAFLD
แม้ว่างานวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวกับ NAFLD และวิตามินอีจะเน้นที่อาหารเสริม แต่เมล็ดทานตะวัน 100 กรัมสามารถให้วิตามินอีประมาณ 20 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อวัน
ดังนั้น หากคุณต้องการเพิ่มวิตามินอีในร่างกายของคุณเเบบธรรมชาติ เมล็ดทานตะวันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้
9 ไขมันไม่อิ่มตัว
การเปลี่ยนการทานจากไขมันอิ่มตัว (เช่น เนย ไขมันที่ตัดจากเนื้อสัตว์ ไส้กรอก และเนื้อสัตว์ที่บ่มแล้ว) เพื่อเป็นไขมันไม่อิ่มตัว (เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะกอก เนยถั่ว และปลาที่มีไขมัน) อาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มี NAFLD
นี่คือเหตุผลที่บางครั้งหมอจะแนะนำให้ทานอาหารเมดิเตอร์เรเนียนสำหรับผู้ที่มี NAFLD เนื่องจากอาหารเมดิเตอร์เรเนียนมุ่งเน้นไปใช้วัตถุดิบที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ดังนั้นจะสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลรวมได้
10 กระเทียม
กระเทียมไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติให้กับอาหารเท่านั้น แต่จากการศึกษาทดลองขนาดเล็ก ยังแสดงให้เห็นว่าผงกระเทียมอาจช่วยลดน้ำหนักและไขมันในผู้ที่เป็นโรคไขมันพอกตับได้
ในการศึกษาล่าสุดในปี 2563 ผู้ป่วย NAFLD ที่รับประทานอาหารเสริมกระเทียมผง 800 มก. ต่อวันเป็นเวลา 15 สัปดาห์ พบว่าไขมันในตับลดลงและระดับเอนไซม์ดีขึ้น
เเละการศึกษาในปี 2562 พบว่าการบริโภคกระเทียมดิบบ่อยครั้งมีความสัมพันธ์ผกผันกับ NAFLD ในผู้ชายชาวจีน (แต่ไม่ใช่ผู้หญิง)
6 อาหารที่ควรเลี่ยง หากเป็นโรคไขมันพอกตับ
หากคุณมีโรคไขมันพอกตับ แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด หรืออย่างน้อยก็ควรรับประทานแต่เท่าที่จำเป็น
อาหารต่อไปนี้เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีส่วนช่วยในการเพิ่มน้ำหนักและสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้:
- แอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์อาจเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไขมันพอกตับและโรคตับอื่นๆ
- อาหารที่เพิ่มน้ำตาล: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล เช่น ลูกอม คุกกี้ น้ำอัดลม และน้ำผลไม้ น้ำตาลในเลือดสูงจะเพิ่มปริมาณไขมันสะสมในตับ
- อาหารทอด: มีไขมันและแคลอรี่สูง
- อาหารที่เพิ่มเกลือ: การบริโภคเกลือมากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อ NAFLD ได้ การบริโภคโซเดียมให้น้อยกว่า 2,300 มิลลิกรัมต่อวันเป็นสิ่งที่ทางเเพทย์เเนะนำในผู้ปกติ ส่วนผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรจำกัดการบริโภคเกลือให้ไม่เกิน 1,500 มก. ต่อวัน
- ขนมปังขาว ข้าว และพาสต้า: โดยทั่วไปแล้วแป้งขาวจะผ่านการแปรรูปสูงและสิ่งของที่ทำจากแป้งสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของคุณได้มากกว่าเเละเร็วกว่าธัญพืชเต็มเมล็ด เหตุผลเพราะเเป้งขาวนั้นขาดไฟเบอร์ เลยทำให้ถูกย่อยได้ง่ายเเล้วเร็วขึ้น
- เนื้อแดง: เนื้อวัวและอาหารสำเร็จรูปมีไขมันอิ่มตัวสูง
วิธีการรักษาอื่นๆของโรคไขมันพอกตับ
นอกจากการปรับเปลี่ยนอาหารแล้ว พฤติกรรมต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอื่นๆ ที่คุณสามารถทำได้ เพื่อฟื้นตัวสุขภาพตับของคุณ:
- ขยับตัวให้มากขึ้น: การออกกำลังกายควบคู่กับการรับประทานอาหารที่ดีสามารถช่วยลดน้ำหนักและจัดการกับโรคตับได้ ลองตั้งเป้าที่จะออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
- ลดระดับไขมันในเลือด: สังเกตการบริโภคไขมันอิ่มตัวและน้ำตาลของตัวเองเพื่อช่วยรักษาระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ของคุณให้อยู่ภายใต้การควบคุม หากการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายไม่เพียงพอที่จะลดคอเลสเตอรอลของคุณ ลองปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับยาดู
- ควบคุมเบาหวาน: โรคเบาหวานและโรคไขมันพอกตับมักเกิดขึ้นพร้อมกัน การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายสามารถช่วยคุณจัดการทั้งสองภาวะได้ หากน้ำตาลในเลือดของคุณยังสูงอยู่ แพทย์สามารถสั่งยาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดได้